วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

อินเตอร์เน็ตเพื่อการศึกษา

การสืบค้นข้อมูล

อินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษาและสืบค้น
ความหมายของอินเทอร์เน็ตอินเตอร์เน็ต (Internet) คือ เครือข่ายของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ระบบต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกัน มาจากคำว่า Inter Connection Network อินเตอร์เน็ต (Internet) เป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่มีขนาดใหญ่ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องทั่วโลก สามารถติดต่อสื่อสารถึงกัน ได้โดยใช้มาตรฐาน ในการรับส่งข้อมูลที่เป็นหนึ่งเดียว หรือที่เรียกว่าโปรโตคอล (Protocol) ซึ่งโปรโตคอล ที่ใช้บนระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต มีชื่อว่า ทีซีพี/ไอพี (TCP/IP : Transmission Control Protocol/Internet Protocol) ลักษณะของระบบอินเตอร์เน็ต เป็นเสมือนใยแมงมุม ที่ครอบคลุมทั่วโลก ในแต่ละจุดที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตนั้น สามารถสื่อสารกันได้หลายเส้นทาง ตามความต้องการ โดยไม่กำหนดตายตัว และไม่จำเป็นต้องไปตามเส้นทางโดยตรง อาจจะผ่านจุดอื่น ๆ หรือ เลือกไปเส้นทางอื่นได้หลาย ๆ เส้นทาง การติดต่อสื่อสาร ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต นั้นอาจเรียกว่า การติดต่อสื่อสารแบบไร้มิติ หรือ Cyberspace
ประเภทเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตกับการศึกษา
1.สามารถใช้เป็นแหล่งค้นคว้าข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลวิชาการ ข้อมูลด้านการพัฒนาบุคคล ด้านการพัฒนาการเรียนการสอน และอื่นที่น่าสนใจ
2.ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จะทำหน้าที่เสมือนห้องสมุดขนาดใหญ่
3.ผู้บริหารสถานศึกษา สามารถใช้อินเตอร์เน็ต ติดต่อกับสถานศึกษาหรือหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องเพื่อนค้นหาข้อมูลที่เป็น ข้อความ เสียง ภาพเคลื่อนไหวต่างๆเป็นต้น
จากข้อมูลดังกล่าว พอจะสรุปได้ว่า อินเทอร์เน็ตมีความสำคัญในรูปแบบที่เกี่ยวกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย การติดต่อสื่อสารที่สะดวกรวดเร็ว และเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลแหล่งที่ใหญ่ที่สุดของโลก

อินเตอร์เน็ตเพื่อการศึกษา1. การใช้เป็นระบบสื่อสารส่วนบุคคล บนอินเตอร์เน็ตมีอิเล็กทรอนิกส์เมล์หรือเรียกย่อๆ ว่า อีเมล์ (E-mail) เป็นระบบที่ทำให้การสื่อสารระหว่างกันเกิดขึ้นได้ง่าย แต่ละบุคคลจะมีตู้จดหมายเป็นของตัวเองสามารถส่งข้อความถึงกันผ่านในระบบนี้โดยส่งไปยังตู้จดหมายของกันและกันนอกจากนี้ยังสามารถประยุกต์ใปใช้ทางการศึกษาได้
2. ระบบข่าวสารบนอินเตอร์เน็ต มีลักษณะเหมือนกระดานข่าวที่เชื่อมโยงถึงกันทั่วโลก ทุกคนสามารถเปิดกระดานข่าวที่ตนเองสนใจหรือสามารถส่งข่าวสารผ่านกลุ่มข่าวบนกระดานนี้เพื่อโต้ตอบข่าวสารกันได้ ้
3. การใช้เพื่อสืบค้นข้อมูลข่าวสารต่างๆ บนอินเตอร์เน็ตมีแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงกัน และติดต่อกับห้องสมุดทั่วโลกทำให้การค้นหาข้อมูลข่าวสารต่างๆ ทำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพหมายถึงสามารถค้นหาและได้มาซึ่งข้อมูลโดยใช้เวลาอันสั้นโดยเฉพาะบนอินเตอร์เน็ตจะมีคำหลัก (Index) ไว้ให้สำหรับการสืบค้นที่รวดเร็ว
4. ฐานข้อมูลเครือข่ายใยแมงมุม (World Wide Wed) เป็นฐานข้อมูลแบบเอกสาร (Hypertext) และแบบมีรูปภาพ (Hypermedia) จนมาปัจจุบัน ฐานข้อมูลเหล่านี้ได้พัฒนาขึ้นจนเป็นแบบมัลติมีเดีย(Multimedia)ซึ่งมีทั้งข้อความ รูปภาพ วีดิทัศน์ และเสียงผู้ใช้เครือข่ายนี้สามารถสืบค้นกันได้จากที่ต่างๆ ทั่วโลก
5. การพูดคุยแบบโต้ตอบหรือคุยเป็นกลุ่ม บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตสามารถเชื่อมต่อกันและพูดคุยกันได้ด้วยเวลาจริง ผู้พูดสามารถพิมพ์ข้อความโต้ตอบกันได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดบนเครือข่าย
6. การส่งถ่ายข้อมูลระหว่างกันแบบ FTP (Files Transfer Protocol) คือสามารถที่จะโอนย้ายถ่ายเทข้อมูลระหว่างกันเป็นจำนวนมากๆ ได้ โดยส่งผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตซึ่งทำให้สะดวกต่อการรับ-ส่งข้อมูลข่าวสารซึ่งกันและกันโดยไม่ต้องเดินทางและข่าวสารถึงผู้รับได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
7. การใช้ทรัพยากรที่ห่างไกลกัน ผู้เรียนอาจเรียนอยู่ที่บ้านและเรียกใช้ข้อมูลที่เป็นทรัพยากรการเรียนรู้ของมหาวิทยาลัยได้ และยังสามารถขอใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ในต่างมาวิทยาลัยได้ 

อินเตอร์เน็ตเพื่อการสืบค้นประโยชน์ของอินเตอร์เน็ตอินเตอร์เน็ต คือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่ครอบคลุม ไปทั่วโลก พร้อมกับมีข้อมูลมหาศาล ทุกประเภท ให้เราค้นคว้า และรับส่งข้อมูล ไปมาระหว่างกันได้ ในตอนนี้ จะขอยกตัวอย่างประโยชน์ ของการใช้งานอินเตอร์เน็ต ด้านต่าง ๆ ให้เห็นพอสังเขป
.
ในด้านการศึกษา เราต่อเข้ากับอินเตอร์เน็ตเพื่อค้นคว้าหาข้อมูลได้ ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลทางวิชาการจากที่ต่าง ๆ ซึ่งในกรณีนี้ อินเตอร์เน็ต จะทำหน้าที่เหมือนห้องสมุด ขนาดยักษ์ ส่งข้อมูลที่เราต้องการ มาให้ถึงบนจอคอมพิวเตอร์ที่บ้านหรือที่ทำงานของเรา ไม่กี่วินาทีจากแหล่งข้อมูลทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม ศิลปกรรม สังคมศาสตร์ กฎหมายและอื่นๆอีกส่วนที่เกี่ยวข้องกันก็คือ ประโยชน์การรับส่งข่าวสาร ผู้ใช้ที่ต่อเข้ากับอินเตอร์เน็ต สามารถรับส่งจดหมายอิเล็กตรอนิกส์ หรือ E-mail กับผู้ใช้คนอื่นๆ ทั่วโลก ในเวลาอันรวดเร็ว ได้โดยค่าใช้จ่ายต่ำมาก นอกจากนี้ ยังอาจส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น แฟ้มข้อมูล รูปภาพ ข้อมูลแบบมัลติมีเดีย ที่เป็นภาพและเสียง ได้อีกด้วยสำหรับด้านธุรกิจและการค้า ช่วยในการซื้อขายสินค้าผ่านคอมพิวเตอร์ เราสามารถเลือกดูสินค้า พร้อมคุณสมบัติผ่านจอคอมพิวเตอร์ของเรา และสั่งซื้อ และจ่ายเงินด้วย บัตรเครดิตได้ทันที ซึ่งนับว่าเป็นความสะดวกสบาย และรวดเร็วมาก สินค้ามีจำหน่าย ทุกประเภท เหมือนห้างสรรพสินค้าใหญ่ ๆ เลยทีเดียวนอกจากนี้ ผู้ใช้ ที่เป็นบริษัท หรือองค์กรต่าง ๆ ก็สามารถเปิดให้บริการ หรือ สนับสนุน ลูกค้าของตน ผ่านอินเตอร์เน็ต เช่น การตอบคำถาม หรือข้อสงสัยต่าง ๆ ให้คำแนะนำ รวมถึงข่าวสารใหม่ๆแก่ลูกค้าได้
ประโยชน์อินเตอร์เน็ต ที่ผู้ใช้กันมากที่สุดอีกอย่างหนึ่ง คือ ความบันเทิง และการ พักผ่อนหย่อนใจ หรือนันทนาการ เช่น เลือกอ่านวารสารต่างๆ ผ่านอินเตอร์เน็ต ที่เรียกว่า magazine แบบ online รวมถึงหนังสือพิมพ์ และข่าวสารอื่น ๆ โดยมีภาพประกอบบนจอคอมพิวเตอร์ เหมือนกับหนังสือ ปกติที่เราดูอยู่กันทุกวัน
การสร้าง Query โดยใช้ Wizard มี 4 ชนิด1 .Simple Query Wizard ใช้ในการค้นหาข้อมูลหรือเรคคอร์ดจากตารางที่มีอยู่แล้ว โดยที่ผู้ใช้กำหนดเงื่อนไขของเรคคอร์คที่ต้องการค้นหาและคัดลอกมาไว้ในตารางใหม่
2. Crosstab Query Wizard ใช้แสดงข้อมูลในรูปแบบตารางสรุปข้อมูล
3. Find Duplicate Query ใช้ค้นหาข้อมูลหรือเรคคอร์ดซึ่งมีค่าซ้ำๆ กันที่มีในตาราง
4. Find Unmatched Query ใช้ค้นหาข้อมูลหรือเรคคอร์ดที่ไม่มีความสัมพันธ์กับเรคคอร์ดในตารางอื่น ๆ แม้ว่าจะมีการกำหนดความสัมพันธ์ไว้ในตาราง
เครื่องมือหรือโปรแกรมสำหรับการสืบค้น
เครื่องมือหรือโปรแกรมสำหรับการสืบค้น (Search Engine) มีอยู่มากมายและมีให้บริการ
อยู่ตามเว็บไซต์ต่างๆ ที่ใช้บริการการสืบค้นข้อมูลโดยเฉพาะ การเลือกใช้นั้นขึ้นกับประเภทของข้อมูล
สารสนเทศที่ต้องการสืบค้น Search Engine ต่างๆ จะให้ข้อมูลที่มีความลึกในแง่มุมหรือศาสตร์ต่างๆ ไม่
เท่ากัน ตัวอย่าง Search Engine ที่นิยมใช้มีทั้งเว็บไซต์ที่เป็นของต่างประเทศ และของไทยเอง ตัวอย่าง
เว็บไซต์ของต่างประเทศ ได้แก่
http://www.yahoo.com http://www.google.com http://www.infoseek.com
http://www.ultraseek.com http://www.lycos.com http://www.excite.com
http://www.altavista.digital.com http://www.opentext.com http://www.hotbot.com
http://www.webcrawler.com http://www.dejanews.com 
http://www.elnet.net/ เป็นต้น 

สำหรับเว็บไซต์ของไทย ได้แก่ http://www.sanook.com http://www.siamguru.com เป็นต้น
ประเภทของข้อมูลสารสนเทศที่สามารถสืบค้นได้
ข้อมูลสารสนเทศที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตมีมากมายหลายประเภท มีลักษณะเป็นมัลติมีเดีย คือ
มีทั้งที่เป็นข้อความ(Text) ภาพวาด (Painting) ภาพเขียนหรือภาพลายเส้น (Drawing) ภาพไดอะแกรม
(Diagram) ภาพถ่าย (Photograph) เสียง (Sound) เสียงสังเคราะห์ เช่น เสียงดนตรี (Midi) ภาพยนตร์
(Movie) ภาพเคลื่อนไหวเอนิเมชัน (Animation) 
จากเทคโนโลยีการสืบค้นที่มีอยู่ในปัจจุบัน การสืบค้นที่เร็วที่สุด มีประสิทธิภาพที่สุด และแพร่หลายที่สุด คือ การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศประเภทข้อความ สำหรับ
การสืบค้นข้อมูลที่เป็นภาพ (Pattern Recognition) และเสียง ยังมีข้อจำกัดอยู่มาก ใช้เวลานาน และยังไม่มี
ประสิทธิภาพ จึงยังไม่มีการสืบค้นข้อมูลประเภทอื่นๆ นอกจากประเภทข้อความในการให้บริการการสืบค้น
บนอินเทอร์เน็ต
การสืบค้นแบบซับซ้อน ด้วยโปรแกรม Google Search Engineเรียกใช้โปรแกรม Googleโดยพิมพ์ http://www.google.co.th ในช่อง Address ของโปรแกรม Internet Explorer จะปรากฏจอภาพจากเว็บไซต์ของ google จากนั้นคลิกที่ลิงค์ ค้นหาแบบละเอียด ที่ด้านซ้ายของกล่องข้อความ
-หากต้องการค้นหาแบบละเอียดโดยระบุ ภาษา ที่แสดงอยู่ในเว็บเพจที่เป็นผลลัพธ์จากการค้นหา ทำได้โดยระบุที่ตัวเลือก ภาษา
-หากต้องการค้นหาแบบละเอียดโดยระบุ ชนิด ของแฟ้มข้อมูลที่ต้องการค้นหา ทำได้โดยระบุที่ตัวเลือก ชนิดของไฟล์
-หากต้องการค้นหาแบบละเอียดโดยระบุ ระยะเวลา ที่เว็บเพจที่ต้องการค้นหาถูกปรับปรุงหรือแก้ไข ทำได้โดยระบุที่ตัวเลือก วันที่
-หากต้องการค้นหาแบบละเอียดโดยระบุ โดเมน การค้นหาเว็บเพจที่ต้องการ ทำได้โดยระบุที่ตัวเลือก โดเมน
ข้อแตกต่างระหว่าง Index และ Search Engineวิธีในการค้นหาข้อมูลแบบ Index จะใช้คนเป็นผู้จัดรวบรวมและทำระบบฐานข้อมูลขึ้นมา ส่วนแบบ Search Engine นั้นระบบฐานข้อมูลของจะได้รับการจัดสร้างโดยใช้ Software ที่มีหน้าที่เกี่ยวกับงานทางด้านนี้โดยเฉพาะมาเป็นตัวควบคุมและจัดการซึ่ง Software นี้ชื่อเรียกว่า Spider ซึ่งการทำงานจะใช้วิธีการเชื่อมโยงไปตามเครือข่ายต่างๆ ที่เชื่อมโยงถึงกันอยู่เต็มไปหมดในInternet เพื่อค้นหา Website ที่เกิดขึ้นมาใหม่ๆ รวมทั้งยังสามารถตรวจสอบหาความเปลี่ยนแปลงของ ข้อมูลใน WebSite เดิมที่มีอยู่ ว่าที่ใดถูกอัพเดตแล้วบ้าง จากนั้นก็จะนำเอาข้อมูลทั้งหมดที่สำรวจเข้ามา ได้เก็บใส่เข้าไปในฐานข้อมูลของตนโดยอัตโนมัติยกตัวอย่างเช่น Excite, Lycos Infoserch เป็นต้น การค้นหาด้วยวิธี Search Engine นั้น มักจะได้ผลลัพธ์ออกมากว้างๆ ชี้เฉพาะเจาะจงได้ยาก บางครั้งข้อมูลที่ค้นหามาได้อาจมีถึงเป็นร้อยเป็นพัน WebSiteประโยชน์ที่ได้รับจาก Search Engine1. ค้นหาเว็บที่ต้องการได้สะดวก รวดเร็ว 

2. สามารถค้นหาแบบเจาะลึกได้ ไม่ว่าจะเป็น รูปภาพ, ข่าว, MP 3 และอื่นๆอีกมากมาย 
3.สามารถค้นหาจากเว็บไซต์เฉพาะทาง ที่มีการจัดทำไว้ เช่น download.com เว็บไซต์เกี่ยวกับข้อมูลและซอร์ฟแวร์ เป็นต้น 
4. มีความหลากหลายในการค้นหาข้อมูล 
5. รองรับการค้นหา ภาษาไทย 
ในโลกยุคอินเตอร์เน็ทในปัจจุบันนี้มีข้อมูลมากมายมหาศาล การที่จะค้นหาข้อมูลจำนวนมากมายอย่างนี้เราไม่อาจจะคลิกเพื่อค้นหาข้อมูลพบได้ง่ายๆ จำเป็นจะต้องอาศัยการค้นหาข้อมูลด้วยเครื่องมือค้นหาที่เรียกว่า Search Engine เข้ามาช่วยเพื่อความสะดวกและรวดเร็ว เว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาข้อมูลมีมากมายหลายที่ทั้งของคนไทยและต่างประเทศ ความหมาย/ประเภทของ Search Engine การค้นหาข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ถ้าเราเปิดไปทีละหน้าจออาจจะต้องเสียเวลาในการค้นหา และอาจหาข้อมูลที่เราต้องการไม่พบ การที่เราจะค้นหาข้อมูลให้พบอย่างรวดเร็วจะต้องใช้เว็บไซต์สำหรับการค้นหาข้อมูลที่เรียกว่า Search Engine Site ซึ่งจะทำหน้าที่รวบรวมรายชื่อเว็บไซต์ต่างๆ เอาไว้ โดยจัดแยกเป็นหมวดหมู่ ผู้ใช้งานเพียงแต่ทราบหัวข้อที่ต้องการค้นหาแล้วป้อน คำหรือข้อความของหัวข้อนั้นๆ ลงไปในช่องที่กำหนด Search Engine แต่ละแห่งมีวิธีการและการจัดเก็บฐานข้อมูลที่แตกต่างกันไปตามประเภทของ Search Engine ที่แต่ละเว็บไซต์นำมาใช้เก็บรวบรวมข้อมูล 
ดังนั้น การที่จะเข้าไปหาข้อมูลหรือเว็บไซต์ โดยวิธีการ Search นั้น อย่างน้อยจะต้องทราบว่า เว็บไซต์ที่เข้าไปใช้บริการ ใช้วิธีการหรือ ประเภทของ Search Engine อะไร เนื่องจากแต่ละประเภทมีความละเอียดในการจัดเก็บข้อมูลต่างกันไป การเลือกใช้เครื่องมือในการค้นหาจะต้องเข้าใจว่า ข้อมูลที่ต้องการค้นหานั้นมีลักษณะอย่างไร มีขอบข่ายกว้างขวางหรือแคบขนาดไหน แล้วจึงเลือกใช้เว็บไซต์ค้นหาที่ให้บริการตรงกับความต้องการ



วีดีโอ ขั้นตอนการสืบค้นข้อมูล

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

E-book (กองการพยาบาลสาธารณสุข) สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร

สำหรับผู้ที่สนใจอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับสาขาวิชาพยาบาล สามารถเข้าไปอ่านได้ที่ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร โดยเข้าไปที่ กองการพยาบาลสาธารณสุข สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร
เข้าหน้าเว๊บไซค์นี้คับ

แล้วสามารถเลือกหนังสืออิเล็กทรอนิกส์อ่านได้เลย ตามต้องการ โดยต้องดาวโหลดก่อน การดาวโหลด จะมีปุ่มดาวโหลดอยู่ด้านล่างของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์แต่ล่ะเล่ม
หรือสามารถเข้าไปอ่านได้ที่http://phn.bangkok.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=139&Itemid=64

วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต


การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต

   การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต (Hematopoietic stem cell transplantation)  
      เป็นวิทยาการความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์ ที่สามารถรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคร้ายแรงหลายชนิดให้มีโอกาสหายขาดได้ โดยความสำเร็จขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย และจิตใจของผู้ป่วย การมีผู้บริจาค stem cell ที่เหมาะสม ประสบการณ์ความพร้อม ความเชี่ยวชาญของแพทย์ และพยาบาลผู้ดูแลรักษา และที่สำคัญคือกำลังใจจากบิดามารดา ผู้ปกครอง และญาติพี่น้องของผู้ป่วย หรือจากบุคคลใกล้ชิด

เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต (Hematopoietic stem cells) คืออะไร ?
 คือ เซลล์ตัวอ่อน หรือเซลล์ต้นกำเนิด (parent cells) ที่อยู่ในไขกระดูก ซึ่งสามารถเจริญเติบโต และแบ่งตัวพัฒนาไปเป็นเซลล์เม็ดเลือดชนิดต่างๆ คือ
  1. เม็ดเลือดแดง มีหน้าที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์เนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย
  2. เม็ดเลือดขาว มีหน้าที่ต่อต้าน และทำลายเชื้อโรคต่างๆ ที่รุกรานร่างกาย
  3. เกร็ดเลือด มีหน้าที่ห้ามเลือดจากบาดแผล ช่วยให้เลือดหยุดไหล
การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต (Stem Cell Transplantation) คืออะไร ?
    คือ การเปลี่ยนหรือแทนที่ stem cell ที่ผิดปรกติด้วย stem cell ที่ปรกติ Stem cell ที่ปรกตินั้นได้มาจากผู้บริจาค และนำมาให้แก่ผู้ป่วย (ผู้รับ) หลังจากที่ผู้ป่วยได้รับยาเคมีบำบัดหรือรังสีรักษาขนาดสูง ที่เรียกว่า "การเตรียมสภาพผู้ป่วย" (Conditioning) ซึ่งใช้เวลานาน 5-9 วัน แล้วแต่โรค และสภาพของผู้ป่วย
ในผู้ป่วยโรคมะเร็ง เหตุผลที่ผู้ป่วยต้องได้รับการเตรียมสภาพก็เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่ยังเหลือซ่อนเร้นในร่างกาย ในเด็กที่ป่วยด้วยโรคทางพันธุกรรม การเตรียมสภาพเพื่อทำให้เกิดที่ว่างในไขกระดูกผู้ป่วย เพื่อให้ stem cell จากผู้บริจาคมีที่ที่จะเจริญเติบโต และเพื่อกดภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยไม่ให้ต่อต้าน stem cell ของผู้บริจาค ต่อจากระยะการเตรียมสภาพ จะเป็นระยะเวลาของการปลูกถ่าย โดยการให้ stem cell เข้าไปในตัวผู้ป่วยผ่านทางสายสวนเส้นเลือดดำใหญ่ ด้วยวิธีการคล้ายคลึงกับการให้เลือด (blood transfusion) ไม่จำเป็นต้องฉีดโดยตรงเข้าไปในไขกระดูกผู้ป่วย Stem cell นั้นจะไหลเวียนในกระแสเลือดผู้ป่วย และเข้าไปอยู่ในไขกระดูกได้เอง จากนั้นจะเริ่มเจริญเติบโตต่อไป

ใครควรได้รับการปลูกถ่าย stem cell ?
คณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกำลังทำการปลูกถ่ายไขกระดูก
  1. ผู้ป่วยที่เป็นโรคของไขกระดูกหรือความบกพร่องหรือผิดปรกติของเซลล์ในไขกระดูก เช่น โรคไขกระดูกฝ่อชนิดรุนแรง โรคโลหิตจางเบต้าธาลัสซีเมีย โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด
  2. ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งบางชนิด ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งต่อมหมวกไต มะเร็งเนื้อเยื่อ
  3. ผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคทางพันธุกรรมหรือมีความผิดปรกติทางเมตาบอลิคบางชนิด

แหล่งของเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตหาได้จากไหน ?


  1. ไขกระดูก โดยการเจาะดูดไขกระดูกที่บริเวณกระดูกเชิงกราน (กระดูกสะโพก) ด้านหลัง ผู้บริจาคจำเป็นต้องได้รับการวางยาสลบขณะที่ทำการดูดไขกระดูก หลังการบริจาค เซลล์ในไขกระดูกจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนขึ้นมาทดแทนได้เอง ไม่มีการสูญเสียอวัยวะ หรือสมรรถภาพใดๆ ทั้งสิ้น
  2. กระแสเลือด โดยฉีดยากระตุ้น G-CSF ให้เซลล์ในไขกระดูกแบ่งตัวเพิ่มจำนวน แล้วออกมาไหลเวียนในกระแสเลือด จากนั้นนำเลือดของผู้บริจาคผ่านเครื่องมือคัดแยก stem cell เก็บไว้ แล้วคืนเลือด และพลาสมากลับสู่ร่างกายผู้บริจาค เป็นวิธีที่ผู้บริจาคจะรู้ตัวดีตลอด ไม่ต้องวางยาสลบ ลักษณะการบริจาคคล้ายคลึงกับการบริจาคโลหิต
  3. เลือดจากสายสะดือ และรกของเด็กทารกแรกเกิด ซึ่งวงการแพทย์ค้นพบว่าอุดมไปด้วยเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต เป็นการนำสิ่งที่เคยถูกละทิ้งไปในอดีตมาทำให้เกิดประโยชน์ในการรักษาผู้ป่วย วิธีการทำโดยการเก็บทันทีหลังจากทารกเพิ่งคลอด และผูกตัดสายสะดือแล้ว ด้วยวิธีปราศจากเชื้อโรค และป้องกันไม่ให้เลือดแข็งตัวเป็นลิ่มเลือด จากนั้นทำการเตรียม และเก็บสงวน cord blood ไว้ในสภาพแช่แข็งในถังไนโตรเจนเหลวที่อุณหภูมิเย็นจัด

ใครสามารถเป็นผู้บริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต ?
    ผู้บริจาค stem cell ควรเป็นผู้ที่มีหมู่เนื้อเยื่อ HLA 6 หมู่หลักตรงกันหรือเข้ากันได้กับผู้ป่วยจึงจะมีโอกาสปลูกถ่ายติดสำเร็จสูง และเกิดภาวะแทรกซ้อน Graft-versus-Host disease (GvHD) น้อยหรือไม่เกิดเลย หมู่ HLA หรือ Human Leukocyte Antigen หลักดังกล่าวประกอบด้วย HLA-A, -B, -DR อย่างละ 2 ตำแหน่ง
ผู้บริจาคส่วนใหญ่ที่หาได้มักจะเป็นพี่หรือน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับผู้ป่วย เนื่องจากโอกาสที่พี่น้องจะมี HLA ตรงกันทุกประการเท่ากับร้อยละ 25 หรือ 1 ใน 4 ส่วนตัวบิดามารดาเองจะมี HLA ตรงกับผู้ป่วยเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
ถ้าผู้ป่วยเป็นบุตรคนเดียว หรือไม่มีพี่น้องที่มี HLA ตรงกัน แพทย์สามารถสรรหาผู้บริจาคที่เป็นอาสาสมัคร (Unrelated, volunteer donor) ได้จากศูนย์กลางการขึ้นทะเบียนอาสาสมัครบริจาค stem cell คนไทยที่เรียกว่า National Stem Cell Donor Registry ของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย นอกจากนี้ ศูนย์ฯ ยังเป็นสื่อกลางในการติดต่อแสวงหาผู้บริจาคจากต่างประเทศด้วย

กระบวนการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตโดยสังเขป
หลังจากผู้ป่วยได้รับการเตรียมสภาพ และได้รับการปลูกถ่าย ต้องใช้เวลานาน 2-3 สัปดาห์กว่าที่ stem cell ใหม่จะเริ่มปลูกติด ผู้ป่วยต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ในห้องเดี่ยวปลอดเชื้อที่ติดตั้งเครื่องกรองเชื้อโรค ฝุ่นละออง และเป็นแรงดันบวก ผู้ป่วยได้รับการเฝ้าระวังป้องกันรักษาภาวะแทรกซ้อน ต้องได้รับยาป้องกันการติดเชื้อ ต้องได้รับเลือด และเกร็ดเลือดที่ผ่านการเตรียมอย่างพิเศษ ได้รับยาช่วยกระตุ้นการปลูกถ่ายติด และยากดภูมิต้านทานเพื่อป้องกันภาวะ GvHD ผู้ป่วยบางรายต้องได้รับสารอาหารทางหลอดเลือด ผู้ป่วยมักต้องพักอยู่ในโรงพยาบาลนานประมาณ 6-8 สัปดาห์จึงจะฟื้นตัวแข็งแรงพอที่จะสามารถกลับบ้านได้

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เทคโนโลยีกับการผ่าตัดไขสันหลังในปัจจุบัน


หลายๆ ท่านคงทราบว่า  ไขสันหลัง  เป็นส่วนของระบบประสาทส่วนกลางที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสมอง  ซึ่งทำหน้าที่ในการควบคุมการเคลื่อนไหว,  การรับรู้ความรู้สึกของลำตัว  และแขน-ขา  ไขสันหลัง เป็นส่วนหนึ่งของระบบประสาทส่วนกลาง  ซึ่งต่อเนื่องมาจากแกนสมอง  ลงมาในโพรงของกระดูกสันหลัง  เริ่มตั้งแต่บริเวณคอจนกระทั่งถึงบริเวณก้นกบ  ระดับไขสันหลัง  ทางการแพทย์แบ่งเป็น  4  ระดับ  คือ 
  1.  
    ระดับคอ  (Cervical)
  2. ระดับอก  (Thoracic)
  3. ระดับหลัง  (Lumbar)  
  4. ระดับก้นกบ  (Sacrum)


  2.ตรวจสอบดูขณะทำการใส่วัสดุยึดกระดูกให้ได้ตำแหน่งและมุมตามที่ต้องการ

ไขสันหลังซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่มีความอ่อนนุ่ม  จะถูกปกป้องและห่อหุ้มอย่างดีโดยโครงสร้างของกระดูกสันหลังเอง  หากมีความผิดปกติเกิดขึ้นที่บริเวณกระดูกสันหลัง  ไขสันหลัง  หรือเส้นประสาทของไขสันหลัง  อาจจะทำให้เกิดความผิดปกติในการเคลื่อนไหวของแขน-ขา  หรือ  การควบคุมการขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ  นอกจากนั้นการรับรู้ในด้านความรู้สึกต่ออุณหภูมิร้อน-เย็น  และการสัมผัส  ก็จะเสียไป
กรณีที่เกิดอุบัติเหตุ  และมีการบาดเจ็บของกระดูกสันหลัง  ก็อาจทำให้ไขสันหลังที่อยู่ภายในเกิดมีปัญหาได้  ความพิการที่จะเกิดขึ้น  จะสัมพันธ์กับระดับไขสันหลังที่มีปัญหา  หากเกิดปัญหาที่ไขสันหลังระดับช่วงหลัง  (Lumbar)  จะทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของขา  และมีอาการชาช่วงสะโพกลงไป  หรือมีปัญหาการขับถ่าย  ถ้ามีปัญหาที่ระดับไขสันหลังระดับช่วงอก  (Thoracic)  อาการชาจะสูงขึ้นมาถึงลำตัว  แต่ถ้ามีปัญหาไขสันหลังที่ระดับคอ  (Cervical)  จะทำให้ทั้งแขนและขาเคลื่อนไหวไม่ได้  ระดับความรู้สึกชาก็จะสูงมาถึงช่วงแขนหรือคอ
นอกจากนั้น  ยังมีโรคต่างๆซึ่งพบได้บ่อยๆ  เช่น  ความเสื่อมของกระดูกสันหลัง  ซึ่งพบได้บ่อยเมื่ออายุมากขึ้น,  ลักษณะของการทำงานบางประเภท  เช่น  พวกที่ทำงานในออฟฟิศต้องทำงานเอกสาร  หรือคอมพิวเตอร์  จะเกิดความเสื่อมของกระดูกต้นคอได้เร็วขึ้น  อาจทำให้มีการกดทับเส้นประสาทไขสันหลัง  ส่งผลให้เกิดอาการปวดที่ต้นคอ  ปวดร้าวไปที่แขน  หรือมีอาการชาบริเวณแขนและมือ  นอกจากนั้น  ยังทำให้เกิดการอ่อนแรงของมือได้ด้วย
ในคนที่ต้องใช้แรงงานในการยกของหนัก  หรือการยกของที่ผิดท่า  จะเกิดการเสื่อมของกระดูกสันหลังได้บ่อยขึ้น  ทำให้เกิดอาการปวดเอว  ร้าวลงไปที่ขา,  ขาชา  และมีอาการขาอ่อนแรง เนื้องอกต่างๆ,  ฝีหนอง  หรือเส้นเลือดผิดปกติ  ก็สามารถเกิดที่ไขสันหลังในระดับต่างๆได้เช่นกัน
โรคบางอย่างของไขสันหลัง  หรือเส้นประสาทไขสันหลัง  มีความจำเป็นต้องผ่าตัดรักษา  เนื่องจากมีการกดทับของเส้นประสาท  เช่น  จากหมอนรองกระดูก,  เนื้องอก,  ก้อนเลือด  และฝีหนองต่างๆ  ในอดีต  การวินิจฉัยโรค  หรือปัญหาต่างๆ  ของกระดูกสันหลังและไขสันหลัง  มีความลำบากมาก  การตรวจโดยใช้สารทึบแสงฉีดเข้าไปในช่องไขสันหลัง  แล้ว  X-ray  จะใช้ได้ดีในบางกรณี  เช่น  การวินิจฉัยหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท  แต่ในปัจจุบันนี้  การตรวจโดยอาศัยเครื่องสนามแม่เหล็ก  (MRI)  สามารถเห็นรายละเอียดต่างๆ  ช่วยให้การวินิจฉัยโรคง่ายขึ้น  ทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมและรวดเร็ว  อีกทั้งเป็นการตรวจที่ไม่ทำให้ผู้ป่วยเจ็บตัวหรือมีอันตรายใดๆ

 การผ่าตัดเพื่อรักษาโรคที่บริเวณกระดูกสันหลังในปัจจุบัน

มีความแตกต่างไปจากอดีตอย่างมากมาย  ยกตัวอย่างเช่น  การผ่าตัดรักษาหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทที่ระดับคอ  หรือระดับช่วงเอว  ในปัจจุบันนี้  การใช้กล้องขยาย  (Microscope)  มาช่วยในการผ่าตัดที่เรียกว่า  “Microdiscectomy”  ทำให้ได้รับผลการรักษาที่ดีขึ้น  เพราะว่าการผ่าตัดผ่านกล้องขยาย  ศัลยแพทย์สามารถมองเห็นรายละเอียดต่างๆได้ดีกว่า  แผลผ่าตัดจึงมีขนาดเล็กลงกว่าเดิม  อาการเจ็บปวดแผล  หลังผ่าตัดก็ลดลง  ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น  และสามารถออกจากโรงพยาบาลได้เร็วขึ้น  กล้องผ่าตัดขนาดเล็กที่ใช้สอดเข้าไปในแผลผ่าตัด  ที่เรียกว่า  “Endoscope”  ก็มีการนำมาใช้ในการทำผ่าตัด  ซึ่งจะทำให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กมาก  แต่การผ่าตัดแบบนี้  ต้องใช้ในรายที่มีข้อบ่งชี้และต้องเลือกผู้ป่วยที่เหมาะสม  นอกจากนั้นคงต้องอาศัยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเท่านั้น
การผ่าตัดกระดูกสันหลังบางอย่าง  เช่น  กระดูกสันหลังเคลื่อน  หรือผิดรูป  การผ่าตัดแก้ไข  จำเป็นต้องผ่าตัดในกระดูกมากกว่า  1  ระดับ  ดังนั้น  ระหว่างทำผ่าตัดจะต้องใช้เครื่องมือ  X-ray  เพื่อ

   1.ตรวจสอบดูระดับที่ต้องการทำผ่าตัดไม่ให้ผิดพลาด

การผ่าตัดแบบนี้แผลผ่าตัดจะมีขนาดใหญ่พอสมควร  และขณะผ่าตัด  แพทย์,  ทีมผ่าตัด  และผู้ป่วยจะได้รับรังสีที่เกิดจากการใช้เครื่องมือ  X-ray  ในการตรวจสอบตำแหน่งอยู่เป็นระยะๆ  แต่ในปัจจุบันนี้  ได้มีการนำเครื่องมือที่เรียกว่า  “นาวิเกเตอร์”  ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สามารถคำนวณหาพิกัดต่างๆของกระดูกสันหลังบริเวณที่จะทำผ่าตัด  และแสดงภาพให้เห็นในระนาบต่างๆ  ตลอดจนภาพ  3  มิติของกระดูกสันหลังในบริเวณที่กำลังทำผ่าตัดและบริเวณข้างเคียง  ดังนั้นถึงแม้ว่าแผลผ่าตัดจะมีขนาดเล็ก  แต่ก็ยังคงทราบตำแหน่งของกระดูกสันหลังในบริเวณนั้นอย่างชัดเจน
ดังนั้น  ขณะทำผ่าตัด  เครื่องมือชนิดนี้จะช่วยให้การทำผ่าตัดมีความแม่นยำ  ทั้งในแง่การบอกระดับที่ต้องการทำผ่าตัด  และช่วยในการเลือกใช้วัสดุต่างๆ  ที่จะมายึดจับกระดูกให้ได้ตามขนาดที่เหมาะสม  และสามารถใส่เข้าไปในทิศทางที่แม่นยำสูงสุด  อีกทั้งยังลดจำนวนรังสีที่จะได้รับในขณะผ่าตัดอีกด้วย
หมายเหตุ  เครื่องมือนาวิเกเตอร์นี้  เป็นเครื่องมือชนิดเดียวกับที่ใช้ในการผ่าตัดสมอง  เพียงแต่ใช้  Software  ที่แตกต่างกัน ใช้หลักการเดียวกันกับ  GPS  (Global  Positional  System)  ที่พบในอุปกรณ์บอกตำแหน่งที่ติดตั้งในรถยนต์ หรืออุปกรณ์เดินป่า
ในรายที่ทำผ่าตัดและต้องใช้กระดูกมาเสริม  ในอดีตจะใช้กระดูกในตัวผู้ป่วยเองที่เรียกว่า  “Autograft”  ซึ่งทำให้ผู้ป่วยจะต้องถูกผ่าตัดเพิ่มอีก  1  ตำแหน่ง  คือ  บริเวณช่วงกระดูกเชิงกราน  หรือสะโพก  เพื่อจะเอาชิ้นกระดูกนั้นมาเสริม
   ข้อเสีย  ก็คือ  ผู้ป่วยต้องมีแผลผ่าตัดเพิ่มขึ้นอีก  1  แผล  เนื่องจากต้องผ่าตัดเอากระดูกมาเสริม  ถ้าเป็นปริมาณมากก็จะต้องคำนึงถึงโครงสร้างของกระดูกที่เอามาว่า  จะมีผลกระทบหรือไม่  นอกจากนั้นผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดแผลจากการที่ผ่าตัดเอากระดูกเพื่อจะเอาไปเสริม
   ข้อดี  ก็คือ  เป็นกระดูกของผู้ป่วยเอง  โอกาสที่กระดูกเสริมจะเชื่อมติดกับกระดูกอื่นๆเป็นไปได้มากกว่าแบบอื่นๆ  นอกจากนั้นยังปราศจากความกังวลเรื่องโรคติดต่ออื่นๆ  ที่จะถ่ายทอดมา
แต่แหล่งกระดูกที่จะนำมาเสริม  สามารถนำมาจากคนอื่น  (Allograft)  ได้  แต่ต้องผ่านกระบวนการเพื่อทำให้เนื้อเยื่อไม่มีปฏิกิริยาต่อต้าน  หรือทำให้ปราศจากโรคต่างๆ  ที่สามารถถ่ายทอดไปยังผู้รับ  นอกจากนี้  ในปัจจุบันมีความก้าวหน้าในการสังเคราะห์  “กระดูกเทียม”  (Artificial  bone  graft)  มาใช้  ซึ่งก็ได้ผลดีในระดับที่น่าพอใจ
เนื่องมาจากสาเหตุของหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท  ในปัจจุบันนี้การผ่าตัดจะมีแผลขนาดเล็กบริเวณด้านหน้าของคอ  จากนั้นแพทย์จะทำการผ่าตัดผ่านกล้องขยาย  (Microscope)  เพื่อขูดเอาหมอนรองกระดูกที่ทับเส้นประสาทอยู่ออกไป  การผ่าตัดผ่านกล้องขยายนี้  จะทำให้เห็นรายละเอียดชัดเจนมากขึ้น  ซึ่งทำให้ผลการรักษาดีมากขึ้น  หลังจากขูดเอาหมอนรองกระดูกออกไป  ก็จะเกิดเป็นช่องว่าง  ซึ่งสามารถนำเอากระดูกของผู้ป่วยเอง  (จากสะโพก)  หรือใช้กระดูกเทียมเข้าไปเสริม  เพื่อให้เกิดการเชื่อมของกระดูกได้  ในขณะนี้เริ่มมีการใช้  “หมอนรองกระดูกเทียม”  (Artificial  disc)  มาเติมเข้าไปในช่องว่างที่ขูดเอาหมอนรองกระดูกออกไป  เพื่อช่วยให้การเคลื่อนไหวของคอยังเป็นไปได้ใกล้เคียงแบบเดิมมากที่สุด  ซึ่งราคาของวัสดุแบบนี้ยังมีราคาแพง  และผลระยะยาว  ยังเป็นสิ่งที่ต้องติดตามต่อไป  เพราะว่ายังเป็นของใหม่อยู่
นอกจากนั้น 
 การผ่าตัดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทที่ระดับสันหลัง  โดยใช้กล้องขยาย  (Microscope)  ที่เรียกว่า  “Microlumbar  discectomy”
  ก็เป็นการผ่าตัดที่แพร่หลาย  ซึ่งได้ผลดี  แผลมีขนาดเล็ก  ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว  และอาการปวดแผลก็น้อยลง
อุปกรณ์โลหะที่มาช่วยเสริมความแข็งแรง  ในปัจจุบัน  ก็ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องให้มีความแข็งแรง  และมีรูปแบบหลากหลาย  ซึ่งไม่มีปฏิกิริยาต่อต้าน  หรือมีแต่น้อย  เมื่อนำมาใช้กับผู้ป่วย จะเห็นได้ว่า  เทคโนโลยีต่างๆ  มีส่วนช่วยให้การผ่าตัดกระดูกสันหลังและไขสันหลังในปัจจุบันนี้  ได้รับการพัฒนาไปอย่างมาก  เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับผลการผ่าตัดรักษากระดูกสันหลังที่ดีที่สุด