วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต


การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต

   การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต (Hematopoietic stem cell transplantation)  
      เป็นวิทยาการความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์ ที่สามารถรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคร้ายแรงหลายชนิดให้มีโอกาสหายขาดได้ โดยความสำเร็จขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย และจิตใจของผู้ป่วย การมีผู้บริจาค stem cell ที่เหมาะสม ประสบการณ์ความพร้อม ความเชี่ยวชาญของแพทย์ และพยาบาลผู้ดูแลรักษา และที่สำคัญคือกำลังใจจากบิดามารดา ผู้ปกครอง และญาติพี่น้องของผู้ป่วย หรือจากบุคคลใกล้ชิด

เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต (Hematopoietic stem cells) คืออะไร ?
 คือ เซลล์ตัวอ่อน หรือเซลล์ต้นกำเนิด (parent cells) ที่อยู่ในไขกระดูก ซึ่งสามารถเจริญเติบโต และแบ่งตัวพัฒนาไปเป็นเซลล์เม็ดเลือดชนิดต่างๆ คือ
  1. เม็ดเลือดแดง มีหน้าที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์เนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย
  2. เม็ดเลือดขาว มีหน้าที่ต่อต้าน และทำลายเชื้อโรคต่างๆ ที่รุกรานร่างกาย
  3. เกร็ดเลือด มีหน้าที่ห้ามเลือดจากบาดแผล ช่วยให้เลือดหยุดไหล
การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต (Stem Cell Transplantation) คืออะไร ?
    คือ การเปลี่ยนหรือแทนที่ stem cell ที่ผิดปรกติด้วย stem cell ที่ปรกติ Stem cell ที่ปรกตินั้นได้มาจากผู้บริจาค และนำมาให้แก่ผู้ป่วย (ผู้รับ) หลังจากที่ผู้ป่วยได้รับยาเคมีบำบัดหรือรังสีรักษาขนาดสูง ที่เรียกว่า "การเตรียมสภาพผู้ป่วย" (Conditioning) ซึ่งใช้เวลานาน 5-9 วัน แล้วแต่โรค และสภาพของผู้ป่วย
ในผู้ป่วยโรคมะเร็ง เหตุผลที่ผู้ป่วยต้องได้รับการเตรียมสภาพก็เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่ยังเหลือซ่อนเร้นในร่างกาย ในเด็กที่ป่วยด้วยโรคทางพันธุกรรม การเตรียมสภาพเพื่อทำให้เกิดที่ว่างในไขกระดูกผู้ป่วย เพื่อให้ stem cell จากผู้บริจาคมีที่ที่จะเจริญเติบโต และเพื่อกดภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยไม่ให้ต่อต้าน stem cell ของผู้บริจาค ต่อจากระยะการเตรียมสภาพ จะเป็นระยะเวลาของการปลูกถ่าย โดยการให้ stem cell เข้าไปในตัวผู้ป่วยผ่านทางสายสวนเส้นเลือดดำใหญ่ ด้วยวิธีการคล้ายคลึงกับการให้เลือด (blood transfusion) ไม่จำเป็นต้องฉีดโดยตรงเข้าไปในไขกระดูกผู้ป่วย Stem cell นั้นจะไหลเวียนในกระแสเลือดผู้ป่วย และเข้าไปอยู่ในไขกระดูกได้เอง จากนั้นจะเริ่มเจริญเติบโตต่อไป

ใครควรได้รับการปลูกถ่าย stem cell ?
คณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกำลังทำการปลูกถ่ายไขกระดูก
  1. ผู้ป่วยที่เป็นโรคของไขกระดูกหรือความบกพร่องหรือผิดปรกติของเซลล์ในไขกระดูก เช่น โรคไขกระดูกฝ่อชนิดรุนแรง โรคโลหิตจางเบต้าธาลัสซีเมีย โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด
  2. ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งบางชนิด ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งต่อมหมวกไต มะเร็งเนื้อเยื่อ
  3. ผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคทางพันธุกรรมหรือมีความผิดปรกติทางเมตาบอลิคบางชนิด

แหล่งของเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตหาได้จากไหน ?


  1. ไขกระดูก โดยการเจาะดูดไขกระดูกที่บริเวณกระดูกเชิงกราน (กระดูกสะโพก) ด้านหลัง ผู้บริจาคจำเป็นต้องได้รับการวางยาสลบขณะที่ทำการดูดไขกระดูก หลังการบริจาค เซลล์ในไขกระดูกจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนขึ้นมาทดแทนได้เอง ไม่มีการสูญเสียอวัยวะ หรือสมรรถภาพใดๆ ทั้งสิ้น
  2. กระแสเลือด โดยฉีดยากระตุ้น G-CSF ให้เซลล์ในไขกระดูกแบ่งตัวเพิ่มจำนวน แล้วออกมาไหลเวียนในกระแสเลือด จากนั้นนำเลือดของผู้บริจาคผ่านเครื่องมือคัดแยก stem cell เก็บไว้ แล้วคืนเลือด และพลาสมากลับสู่ร่างกายผู้บริจาค เป็นวิธีที่ผู้บริจาคจะรู้ตัวดีตลอด ไม่ต้องวางยาสลบ ลักษณะการบริจาคคล้ายคลึงกับการบริจาคโลหิต
  3. เลือดจากสายสะดือ และรกของเด็กทารกแรกเกิด ซึ่งวงการแพทย์ค้นพบว่าอุดมไปด้วยเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต เป็นการนำสิ่งที่เคยถูกละทิ้งไปในอดีตมาทำให้เกิดประโยชน์ในการรักษาผู้ป่วย วิธีการทำโดยการเก็บทันทีหลังจากทารกเพิ่งคลอด และผูกตัดสายสะดือแล้ว ด้วยวิธีปราศจากเชื้อโรค และป้องกันไม่ให้เลือดแข็งตัวเป็นลิ่มเลือด จากนั้นทำการเตรียม และเก็บสงวน cord blood ไว้ในสภาพแช่แข็งในถังไนโตรเจนเหลวที่อุณหภูมิเย็นจัด

ใครสามารถเป็นผู้บริจาคเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต ?
    ผู้บริจาค stem cell ควรเป็นผู้ที่มีหมู่เนื้อเยื่อ HLA 6 หมู่หลักตรงกันหรือเข้ากันได้กับผู้ป่วยจึงจะมีโอกาสปลูกถ่ายติดสำเร็จสูง และเกิดภาวะแทรกซ้อน Graft-versus-Host disease (GvHD) น้อยหรือไม่เกิดเลย หมู่ HLA หรือ Human Leukocyte Antigen หลักดังกล่าวประกอบด้วย HLA-A, -B, -DR อย่างละ 2 ตำแหน่ง
ผู้บริจาคส่วนใหญ่ที่หาได้มักจะเป็นพี่หรือน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับผู้ป่วย เนื่องจากโอกาสที่พี่น้องจะมี HLA ตรงกันทุกประการเท่ากับร้อยละ 25 หรือ 1 ใน 4 ส่วนตัวบิดามารดาเองจะมี HLA ตรงกับผู้ป่วยเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
ถ้าผู้ป่วยเป็นบุตรคนเดียว หรือไม่มีพี่น้องที่มี HLA ตรงกัน แพทย์สามารถสรรหาผู้บริจาคที่เป็นอาสาสมัคร (Unrelated, volunteer donor) ได้จากศูนย์กลางการขึ้นทะเบียนอาสาสมัครบริจาค stem cell คนไทยที่เรียกว่า National Stem Cell Donor Registry ของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย นอกจากนี้ ศูนย์ฯ ยังเป็นสื่อกลางในการติดต่อแสวงหาผู้บริจาคจากต่างประเทศด้วย

กระบวนการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตโดยสังเขป
หลังจากผู้ป่วยได้รับการเตรียมสภาพ และได้รับการปลูกถ่าย ต้องใช้เวลานาน 2-3 สัปดาห์กว่าที่ stem cell ใหม่จะเริ่มปลูกติด ผู้ป่วยต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ในห้องเดี่ยวปลอดเชื้อที่ติดตั้งเครื่องกรองเชื้อโรค ฝุ่นละออง และเป็นแรงดันบวก ผู้ป่วยได้รับการเฝ้าระวังป้องกันรักษาภาวะแทรกซ้อน ต้องได้รับยาป้องกันการติดเชื้อ ต้องได้รับเลือด และเกร็ดเลือดที่ผ่านการเตรียมอย่างพิเศษ ได้รับยาช่วยกระตุ้นการปลูกถ่ายติด และยากดภูมิต้านทานเพื่อป้องกันภาวะ GvHD ผู้ป่วยบางรายต้องได้รับสารอาหารทางหลอดเลือด ผู้ป่วยมักต้องพักอยู่ในโรงพยาบาลนานประมาณ 6-8 สัปดาห์จึงจะฟื้นตัวแข็งแรงพอที่จะสามารถกลับบ้านได้

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เทคโนโลยีกับการผ่าตัดไขสันหลังในปัจจุบัน


หลายๆ ท่านคงทราบว่า  ไขสันหลัง  เป็นส่วนของระบบประสาทส่วนกลางที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสมอง  ซึ่งทำหน้าที่ในการควบคุมการเคลื่อนไหว,  การรับรู้ความรู้สึกของลำตัว  และแขน-ขา  ไขสันหลัง เป็นส่วนหนึ่งของระบบประสาทส่วนกลาง  ซึ่งต่อเนื่องมาจากแกนสมอง  ลงมาในโพรงของกระดูกสันหลัง  เริ่มตั้งแต่บริเวณคอจนกระทั่งถึงบริเวณก้นกบ  ระดับไขสันหลัง  ทางการแพทย์แบ่งเป็น  4  ระดับ  คือ 
  1.  
    ระดับคอ  (Cervical)
  2. ระดับอก  (Thoracic)
  3. ระดับหลัง  (Lumbar)  
  4. ระดับก้นกบ  (Sacrum)


  2.ตรวจสอบดูขณะทำการใส่วัสดุยึดกระดูกให้ได้ตำแหน่งและมุมตามที่ต้องการ

ไขสันหลังซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่มีความอ่อนนุ่ม  จะถูกปกป้องและห่อหุ้มอย่างดีโดยโครงสร้างของกระดูกสันหลังเอง  หากมีความผิดปกติเกิดขึ้นที่บริเวณกระดูกสันหลัง  ไขสันหลัง  หรือเส้นประสาทของไขสันหลัง  อาจจะทำให้เกิดความผิดปกติในการเคลื่อนไหวของแขน-ขา  หรือ  การควบคุมการขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ  นอกจากนั้นการรับรู้ในด้านความรู้สึกต่ออุณหภูมิร้อน-เย็น  และการสัมผัส  ก็จะเสียไป
กรณีที่เกิดอุบัติเหตุ  และมีการบาดเจ็บของกระดูกสันหลัง  ก็อาจทำให้ไขสันหลังที่อยู่ภายในเกิดมีปัญหาได้  ความพิการที่จะเกิดขึ้น  จะสัมพันธ์กับระดับไขสันหลังที่มีปัญหา  หากเกิดปัญหาที่ไขสันหลังระดับช่วงหลัง  (Lumbar)  จะทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของขา  และมีอาการชาช่วงสะโพกลงไป  หรือมีปัญหาการขับถ่าย  ถ้ามีปัญหาที่ระดับไขสันหลังระดับช่วงอก  (Thoracic)  อาการชาจะสูงขึ้นมาถึงลำตัว  แต่ถ้ามีปัญหาไขสันหลังที่ระดับคอ  (Cervical)  จะทำให้ทั้งแขนและขาเคลื่อนไหวไม่ได้  ระดับความรู้สึกชาก็จะสูงมาถึงช่วงแขนหรือคอ
นอกจากนั้น  ยังมีโรคต่างๆซึ่งพบได้บ่อยๆ  เช่น  ความเสื่อมของกระดูกสันหลัง  ซึ่งพบได้บ่อยเมื่ออายุมากขึ้น,  ลักษณะของการทำงานบางประเภท  เช่น  พวกที่ทำงานในออฟฟิศต้องทำงานเอกสาร  หรือคอมพิวเตอร์  จะเกิดความเสื่อมของกระดูกต้นคอได้เร็วขึ้น  อาจทำให้มีการกดทับเส้นประสาทไขสันหลัง  ส่งผลให้เกิดอาการปวดที่ต้นคอ  ปวดร้าวไปที่แขน  หรือมีอาการชาบริเวณแขนและมือ  นอกจากนั้น  ยังทำให้เกิดการอ่อนแรงของมือได้ด้วย
ในคนที่ต้องใช้แรงงานในการยกของหนัก  หรือการยกของที่ผิดท่า  จะเกิดการเสื่อมของกระดูกสันหลังได้บ่อยขึ้น  ทำให้เกิดอาการปวดเอว  ร้าวลงไปที่ขา,  ขาชา  และมีอาการขาอ่อนแรง เนื้องอกต่างๆ,  ฝีหนอง  หรือเส้นเลือดผิดปกติ  ก็สามารถเกิดที่ไขสันหลังในระดับต่างๆได้เช่นกัน
โรคบางอย่างของไขสันหลัง  หรือเส้นประสาทไขสันหลัง  มีความจำเป็นต้องผ่าตัดรักษา  เนื่องจากมีการกดทับของเส้นประสาท  เช่น  จากหมอนรองกระดูก,  เนื้องอก,  ก้อนเลือด  และฝีหนองต่างๆ  ในอดีต  การวินิจฉัยโรค  หรือปัญหาต่างๆ  ของกระดูกสันหลังและไขสันหลัง  มีความลำบากมาก  การตรวจโดยใช้สารทึบแสงฉีดเข้าไปในช่องไขสันหลัง  แล้ว  X-ray  จะใช้ได้ดีในบางกรณี  เช่น  การวินิจฉัยหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท  แต่ในปัจจุบันนี้  การตรวจโดยอาศัยเครื่องสนามแม่เหล็ก  (MRI)  สามารถเห็นรายละเอียดต่างๆ  ช่วยให้การวินิจฉัยโรคง่ายขึ้น  ทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมและรวดเร็ว  อีกทั้งเป็นการตรวจที่ไม่ทำให้ผู้ป่วยเจ็บตัวหรือมีอันตรายใดๆ

 การผ่าตัดเพื่อรักษาโรคที่บริเวณกระดูกสันหลังในปัจจุบัน

มีความแตกต่างไปจากอดีตอย่างมากมาย  ยกตัวอย่างเช่น  การผ่าตัดรักษาหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทที่ระดับคอ  หรือระดับช่วงเอว  ในปัจจุบันนี้  การใช้กล้องขยาย  (Microscope)  มาช่วยในการผ่าตัดที่เรียกว่า  “Microdiscectomy”  ทำให้ได้รับผลการรักษาที่ดีขึ้น  เพราะว่าการผ่าตัดผ่านกล้องขยาย  ศัลยแพทย์สามารถมองเห็นรายละเอียดต่างๆได้ดีกว่า  แผลผ่าตัดจึงมีขนาดเล็กลงกว่าเดิม  อาการเจ็บปวดแผล  หลังผ่าตัดก็ลดลง  ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น  และสามารถออกจากโรงพยาบาลได้เร็วขึ้น  กล้องผ่าตัดขนาดเล็กที่ใช้สอดเข้าไปในแผลผ่าตัด  ที่เรียกว่า  “Endoscope”  ก็มีการนำมาใช้ในการทำผ่าตัด  ซึ่งจะทำให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กมาก  แต่การผ่าตัดแบบนี้  ต้องใช้ในรายที่มีข้อบ่งชี้และต้องเลือกผู้ป่วยที่เหมาะสม  นอกจากนั้นคงต้องอาศัยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเท่านั้น
การผ่าตัดกระดูกสันหลังบางอย่าง  เช่น  กระดูกสันหลังเคลื่อน  หรือผิดรูป  การผ่าตัดแก้ไข  จำเป็นต้องผ่าตัดในกระดูกมากกว่า  1  ระดับ  ดังนั้น  ระหว่างทำผ่าตัดจะต้องใช้เครื่องมือ  X-ray  เพื่อ

   1.ตรวจสอบดูระดับที่ต้องการทำผ่าตัดไม่ให้ผิดพลาด

การผ่าตัดแบบนี้แผลผ่าตัดจะมีขนาดใหญ่พอสมควร  และขณะผ่าตัด  แพทย์,  ทีมผ่าตัด  และผู้ป่วยจะได้รับรังสีที่เกิดจากการใช้เครื่องมือ  X-ray  ในการตรวจสอบตำแหน่งอยู่เป็นระยะๆ  แต่ในปัจจุบันนี้  ได้มีการนำเครื่องมือที่เรียกว่า  “นาวิเกเตอร์”  ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สามารถคำนวณหาพิกัดต่างๆของกระดูกสันหลังบริเวณที่จะทำผ่าตัด  และแสดงภาพให้เห็นในระนาบต่างๆ  ตลอดจนภาพ  3  มิติของกระดูกสันหลังในบริเวณที่กำลังทำผ่าตัดและบริเวณข้างเคียง  ดังนั้นถึงแม้ว่าแผลผ่าตัดจะมีขนาดเล็ก  แต่ก็ยังคงทราบตำแหน่งของกระดูกสันหลังในบริเวณนั้นอย่างชัดเจน
ดังนั้น  ขณะทำผ่าตัด  เครื่องมือชนิดนี้จะช่วยให้การทำผ่าตัดมีความแม่นยำ  ทั้งในแง่การบอกระดับที่ต้องการทำผ่าตัด  และช่วยในการเลือกใช้วัสดุต่างๆ  ที่จะมายึดจับกระดูกให้ได้ตามขนาดที่เหมาะสม  และสามารถใส่เข้าไปในทิศทางที่แม่นยำสูงสุด  อีกทั้งยังลดจำนวนรังสีที่จะได้รับในขณะผ่าตัดอีกด้วย
หมายเหตุ  เครื่องมือนาวิเกเตอร์นี้  เป็นเครื่องมือชนิดเดียวกับที่ใช้ในการผ่าตัดสมอง  เพียงแต่ใช้  Software  ที่แตกต่างกัน ใช้หลักการเดียวกันกับ  GPS  (Global  Positional  System)  ที่พบในอุปกรณ์บอกตำแหน่งที่ติดตั้งในรถยนต์ หรืออุปกรณ์เดินป่า
ในรายที่ทำผ่าตัดและต้องใช้กระดูกมาเสริม  ในอดีตจะใช้กระดูกในตัวผู้ป่วยเองที่เรียกว่า  “Autograft”  ซึ่งทำให้ผู้ป่วยจะต้องถูกผ่าตัดเพิ่มอีก  1  ตำแหน่ง  คือ  บริเวณช่วงกระดูกเชิงกราน  หรือสะโพก  เพื่อจะเอาชิ้นกระดูกนั้นมาเสริม
   ข้อเสีย  ก็คือ  ผู้ป่วยต้องมีแผลผ่าตัดเพิ่มขึ้นอีก  1  แผล  เนื่องจากต้องผ่าตัดเอากระดูกมาเสริม  ถ้าเป็นปริมาณมากก็จะต้องคำนึงถึงโครงสร้างของกระดูกที่เอามาว่า  จะมีผลกระทบหรือไม่  นอกจากนั้นผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดแผลจากการที่ผ่าตัดเอากระดูกเพื่อจะเอาไปเสริม
   ข้อดี  ก็คือ  เป็นกระดูกของผู้ป่วยเอง  โอกาสที่กระดูกเสริมจะเชื่อมติดกับกระดูกอื่นๆเป็นไปได้มากกว่าแบบอื่นๆ  นอกจากนั้นยังปราศจากความกังวลเรื่องโรคติดต่ออื่นๆ  ที่จะถ่ายทอดมา
แต่แหล่งกระดูกที่จะนำมาเสริม  สามารถนำมาจากคนอื่น  (Allograft)  ได้  แต่ต้องผ่านกระบวนการเพื่อทำให้เนื้อเยื่อไม่มีปฏิกิริยาต่อต้าน  หรือทำให้ปราศจากโรคต่างๆ  ที่สามารถถ่ายทอดไปยังผู้รับ  นอกจากนี้  ในปัจจุบันมีความก้าวหน้าในการสังเคราะห์  “กระดูกเทียม”  (Artificial  bone  graft)  มาใช้  ซึ่งก็ได้ผลดีในระดับที่น่าพอใจ
เนื่องมาจากสาเหตุของหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท  ในปัจจุบันนี้การผ่าตัดจะมีแผลขนาดเล็กบริเวณด้านหน้าของคอ  จากนั้นแพทย์จะทำการผ่าตัดผ่านกล้องขยาย  (Microscope)  เพื่อขูดเอาหมอนรองกระดูกที่ทับเส้นประสาทอยู่ออกไป  การผ่าตัดผ่านกล้องขยายนี้  จะทำให้เห็นรายละเอียดชัดเจนมากขึ้น  ซึ่งทำให้ผลการรักษาดีมากขึ้น  หลังจากขูดเอาหมอนรองกระดูกออกไป  ก็จะเกิดเป็นช่องว่าง  ซึ่งสามารถนำเอากระดูกของผู้ป่วยเอง  (จากสะโพก)  หรือใช้กระดูกเทียมเข้าไปเสริม  เพื่อให้เกิดการเชื่อมของกระดูกได้  ในขณะนี้เริ่มมีการใช้  “หมอนรองกระดูกเทียม”  (Artificial  disc)  มาเติมเข้าไปในช่องว่างที่ขูดเอาหมอนรองกระดูกออกไป  เพื่อช่วยให้การเคลื่อนไหวของคอยังเป็นไปได้ใกล้เคียงแบบเดิมมากที่สุด  ซึ่งราคาของวัสดุแบบนี้ยังมีราคาแพง  และผลระยะยาว  ยังเป็นสิ่งที่ต้องติดตามต่อไป  เพราะว่ายังเป็นของใหม่อยู่
นอกจากนั้น 
 การผ่าตัดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทที่ระดับสันหลัง  โดยใช้กล้องขยาย  (Microscope)  ที่เรียกว่า  “Microlumbar  discectomy”
  ก็เป็นการผ่าตัดที่แพร่หลาย  ซึ่งได้ผลดี  แผลมีขนาดเล็ก  ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว  และอาการปวดแผลก็น้อยลง
อุปกรณ์โลหะที่มาช่วยเสริมความแข็งแรง  ในปัจจุบัน  ก็ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องให้มีความแข็งแรง  และมีรูปแบบหลากหลาย  ซึ่งไม่มีปฏิกิริยาต่อต้าน  หรือมีแต่น้อย  เมื่อนำมาใช้กับผู้ป่วย จะเห็นได้ว่า  เทคโนโลยีต่างๆ  มีส่วนช่วยให้การผ่าตัดกระดูกสันหลังและไขสันหลังในปัจจุบันนี้  ได้รับการพัฒนาไปอย่างมาก  เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับผลการผ่าตัดรักษากระดูกสันหลังที่ดีที่สุด